5etfbyblsglobalinvesting
5etfbyblsglobalinvesting

5 ETF เกาะเทรนด์เปิดเศรษฐกิจ มีกองไหนบ้าง น่าสนใจอย่างไร

5 ETF เกาะเทรนด์เปิดเศรษฐกิจ มีกองไหนบ้าง น่าสนใจอย่างไร

PPT AW ETF_120321_1.0 (1)

อีกตัวเลือกในการลงทุนต่างประเทศก็ คือ “การลงทุนใน ETF” ซึ่งนับว่าเป็นอีกตัวเลือกที่สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับนักลงทุนได้ เพราะการลงทุนใน ETF นั้น เปรียบเสมือนการลงทุนในหุ้นหลายตัว และสามารถซื้อ-ขายได้แบบ Real-time เหมือนกับหุ้น ต่างจากการลงทุนในกองทุนรวม กว่าเราจะทราบ NAV ก็ต้องใช้เวลาหลายวัน นอกจากนี้ โดยปกติแล้วกองทุนรวมต่างประเทศมักจะเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการ 2 ต่อด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือ กองทุนหลักที่อยู่ในต่างประเทศ เก็บค่าธรรมเนียม 1 ต่อ และกองทุนรวมของประเทศไทยก็จะเก็บค่าธรรมเนียมอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นจึงเปรียบเสมือนว่า เราโดนเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการถึง 2 ต่อ อีกทั้ง ETF ก็เป็นการลงทุนที่มีธีมให้นักลงทุนได้เลือกมากมาย วันนี้ทีม BLS Global Investing จึงอยากจะพามาดู ETF ที่เกาะเทรนด์เปิดเศรษฐกิจหลังจากเกิดการระบาดโควิด-19 มีตัวไหนบ้าง พร้อมทั้งข้อมูลของแต่ละ ETF ที่น่าสนใจ

1. SPDR S&P Smart Mobility ETF (HAIL)

“เทรนด์เปิดเศรษฐกิจและเทรนด์แห่งอนาคต”

ETF อิงดัชนี S&P Kensho Smart Transportation ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทหลายบริษัททั่วโลกที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และดำเนินธุรกิจสินค้าและบริการเกี่ยวกับนวัตกรรมการขับขี่ (Smart transportation)

โดยดัชนี S&P Kensho smart transportation มีความตั้งใจที่จะสะท้อนถึงบริษัทที่อยู่ในดัชนีดังนี้

  • S&P Kensho Electric Vehicles Index
  • S&P Kensho Autonomous Vehicles Index
  • S&P Kensho Advanced Transport Systems Index
  • S&P Kensho Drones Index

สัดส่วนการลงทุนของ HAIL เกือบ 20% ของสินทรัพย์รวมสุทธิ เป็นการลงทุนในธุรกิจกลุ่มอุปกรณ์และชิ้นส่วนรถยนต์ และกว่า 80% เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในสหรัฐฯ รองลงมาเป็นบริษัทจีนที่ 6.3% ของสัดส่วนทั้งหมด HAIL โดย P/E อยู่ที่ 22.95

ทำไม HAIL ถึงน่าสนใจ

เมื่อเปิดเศรษฐกิจ หุ้นในกลุ่มโดยสาร (Transportation) เป็นอีกกลุ่มการลงทุนที่น่าสนใจ เนื่องจากการเดินทางเป็นปัจจัยหลักของการดำเนินชีวิต จึงทำให้หุ้นกลุ่มยานยนต์ ได้รับผลบวกเช่นกัน อีกทั้งโลกกำลังเข้าสู่ยุค new economy การเดินทางด้วยยานยนต์แบบใหม่ที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมร่วมด้วย เช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้า รถยนต์ไร้คนขับ โดรน จึงเป็นสิ่งที่โลกกำลังจะพัฒนา เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและสะดวกสบาย ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี

ตารางเปรียบเทียบกับดัชนีอ้างอิง

ผลตอบแทนย้อนหลังHAIL (%)KMOVE (%)
1 เดือน-11.91-11.86
3 เดือน19.6519.63
ตั้งแต่ต้นปี (1 ม.ค. 2564)12.7612.64
1 ปี159.34159.39
3 ปี27.3827.15
5 ปี28.77

Source: Bloomberg, as of 11/3/64

Top 5 Holdings (as of 9/3/64)สัดส่วนในสินทรัพย์สุทธิ (%)
AgEagle Aerial Systems Inc. (UAVS)3.8
Avis Budget Group Inc. (CAR)2.8
Plug Power Inc. (PLUG)2.8
Niu Technologies – DR (NIU)2.4
American Axle & Manufacturing Holdings Inc. (AXL)2.4

Source: Bloomberg

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM)235 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
Expense ratio (%)0.45 %

Source: Bloomberg, as of 11/3/64

 2. Invesco Dynamic Leisure and Entertainment ETF (PEJ)

“เทรนด์เปิดเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อความบันเทิง”

PEJ นับว่าเป็นกอง ETF ที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นธุรกิจโรงแรม คาสิโน รวมถึง Walt Disney (DIS) ส่งผลทำให้ในช่วงมีนาคมในปี 2563 ราคา ETF ลงมาอยู่ที่ 19.5 เหรียญสหรัฐฯ (ปัจจุบันอยู่ที่ 50.64 เหรียญสหรัฐฯ) (ตามรูป) จากการที่การท่องเที่ยวหยุดชะงักและการเป็นอยู่แบบ Social distancing

001

Source: Bloomberg, as of 10/3/64

PEJ มีหลักการในการเลือกหุ้นอย่างไร  

PEJ เป็น ETF ที่อ้างอิงกับดัชนี Dynamic Leisure & Entertainment Intellindex ซึ่งเลือกลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวกับความบันเทิง, การสื่อสาร และการท่องเที่ยว โดย PEJ ประกอบไปด้วยหุ้นประมาณ 30-32 ตัว และใช้กลยุทธ์ในการเลือกหุ้นตามโมเมนตัมของกำไร ผลตอบแทนของราคา และคุณภาพทางด้านการเงิน กลยุทธ์ในการบริหารจัดการธุรกิจ ฯลฯ

แล้วทำไม PEJ จึงกลับมาน่าสนใจ หากเปิดเศรษฐกิจ 

เรามองว่าธุรกิจสื่อบันเทิง, ท่องเที่ยว หรือ สื่อสาร อาจได้รับอานิสงค์จากการเปิดเศรษฐกิจและการรับวัคซีน เนื่องจากประชาชนจะกลับมาเดินทางได้ตามปกติ หรือ ไปท่องเที่ยวในตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น สวนสนุก หรือ คาสิโน ซึ่งจะหนุนต่อรายได้และกำไรของหุ้นที่อยู่ใน PEJ เช่นกัน อีกหนึ่งความน่าสนใจก็ คือ PEJ ลงทุนทั้งหุ้นขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ (วัดจากมูลค่าตลาด) จึงทำให้ประกอบไปด้วยหุ้น Growth และ Value ที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและความเป็น cyclicality

PEJ ประกอบไปด้วยบริษัทที่ให้บริการด้านความสนุกสนานและความบันเทิงที่หลากหลาย อาทิ บริษัท ViacomCBS ที่ให้บริการสื่อบันเทิงระดับโลก เป็นต้น

Top 5 Holdings (as of 28/2/64)สัดส่วนในสินทรัพย์สุทธิ (%)
ViacomCBS Inc. (VIAC)7.3
Walt Disney (DIS)4.9
Hilton Worldwide Holdings Inc. (HLT)4.4
Fox Corp (FOXA)4.4
Sysco Corp. (SYY)4.3

Source: Investco

PEJ มีผลตอบแทนเฉลี่ยตั้งแต่เริ่มจัดตั้งในช่วงเดือนมิ.ย. 2548 อยู่ที่ 6% ต่อปี

002

Source: Seeking Alpha, as of 30/09/2020

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM)1,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
Expense ratio (%)0.63%

Source: Bloomberg, as of 11/3/64

3. iShares China Large-Cap ETF (FXI)

“เทรนด์เปิดเศรษฐกิจและหุ้นจีนในตลาดฮ่องกง”

ETF หนึ่งเดียวที่เลือกลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง อีกทั้งเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดจำนวน 50 ตัว โดยคำนวณจากมูลค่าตลาด (Market Capitalization) โดย ETF FXI อ้างอิงกับดัชนี FTSE China 50 และมีค่าใช้จ่ายรวมที่กองเก็บ (Expense ratio) อยู่ที่ 0.74%

จุดสังเกต คือ FXI เป็น ETF ที่เลือกลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของจีน โดยจะต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเท่านั้น จึงทำให้ส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มการเงิน (Financials) กลุ่มการบริโภค (Consumer Discretionary) และกลุ่มการสื่อสาร (Communication) จึงทำให้เรานำ FXI มาอยู่ในธีม ETF เกาะเทรนด์เปิดเศรษฐกิจ เมื่อเปิดเศรษฐกิจจะส่งผลบวกต่อหุ้นเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น หากเศรษฐกิจกลับมาเปิดอย่างเต็มรูปแบบ จะส่งผลให้รายได้และกำไรของบริษัทต่าง ๆ ฟื้นกลับมา ช่วยกระตุ้นการลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะหนุนต่อกลุ่มการเงิน ส่วนหุ้นบริโภคก็อาจได้รับแรงหนุนเช่นกัน จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ให้เงินเยียวยาแก่ประชาชน หนุนการบริโภคเพิ่มขึ้น

สัดส่วนกลุ่มธุรกิจ (Sector) ของ FXI (%) (As of 9/3/64)

003

Source: iShares

FXI มีหุ้นอยู่ในกองทั้งหมด 50 ตัว และหากพูดถึง 5 หุ้นที่มีสัดส่วนใน FXI มากที่สุด มีดังนี้

Top 5 Holdings (as of 9/3/64)กลุ่มธุรกิจ (Sector)สัดส่วนในสินทรัพย์สุทธิ (%)
Tencent (700)Consumer Discretionary8.7
Alibaba (9988)Communication8.6
Meituan (3690)Consumer Discretionary7.3
China Construction Bank Corp. (939)Financials6.1
JD.com (9618)Consumer Discretionary5.8

Source: iShares

ทำไมหลังจากเปิดเศรษฐกิจ FXI จึงเป็น ETF ที่น่าสนใจ 

ประเทศจีน เป็นประเทศแผ่นดินใหญ่ การใช้จ่ายสูงมาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นประเทศที่ฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19 ที่รวดเร็วมาก โดย GDP โตเป็นบวกได้ในปีก่อน ขณะที่ประเทศอื่น ๆ รวมถึงประเทศไทยติดลบ ดังนั้นเมื่อมีการเปิดเศรษฐกิจ หุ้นที่อยู่ในกลุ่ม Consumer discretionary จึงได้รับผลประโยชน์ไป จากการที่ผู้บริโภคหันกลับมาใช้จ่ายกันมากขึ้น ธุรกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว รายได้อาจค่อย ๆ ฟื้นตัวมาอยู่ในระดับก่อนการระบาด อีกทั้งศักยภาพในการเติบโตของจีนดี ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็ว จึงทำให้ FXI เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ อีกทั้งหากลองสังเกตดี ๆ หุ้นใน FXI ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ดำเนินธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาร่วมด้วย จึงทำให้โอกาสในการเติบโตยังคงสูง บวกกับการเป็นหุ้นในกลุ่มที่ถูกจัดว่าเป็น New economy ที่มีการเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจจีน

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM)

4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

Expense ratio (%)

0.74%

Source: Bloomberg, as of 11/3/64

4. iShares Global Clean Energy ETF (ICLN)

“เทรนด์เปิดเศรษฐกิจ และธุรกิจด้านพลังงานสะอาด”

ICLN เลือกลงทุนในหุ้นที่อยู่ในกลุ่มพลังงานสะอาด (Clean energy) ทั่วโลก โดยมีหุ้น top holding เช่น Plug Power ที่มีสัดส่วนราว 8.7% และ Enphase Energy ที่สัดส่วน 5.4% ของสินทรัพย์สุทธิทั้งหมด

เทรนด์พลังงานสะอาดกำลังเติบโตในปัจจุบัน ส่งผลให้หลาย ๆ อุตสาหกรรมเริ่มหันมาใช้พลังงานสะอาดกันมากขึ้น เช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) พลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ เป็นต้น  

ทำไม ICLN ถึงน่าสนใจและได้รับแรงหนุนบวก จากการเปิดเศรษฐกิจ 

เราคาดว่าบริษัทกลุ่มพลังงานสะอาดจะมีแนวโน้มการเติบโตที่สดใส จากการเข้าสู่ยุคใหม่ของโลกที่เน้นการใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น เห็นได้จากยอดขายรถ EV ทั่วโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเศรษฐกิจกลับมาเปิดอย่างเต็มรูปแบบ เราเชื่อว่า demand การใช้พลังงานสะอาดจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากพลังงานสะอาดมักจะถูกนำไปใช้ในกลุ่มการโดยสารและขนส่งเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งยังมีไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านและสำนักงาน ดังนั้นหากคนมีการเดินทางเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้พลังงานสะอาดได้รับแรงหนุนนี้ไปด้วย และน้ำมันฟอสซิลนับว่าเป็นพลังงานที่มีวันหมดไป และใช้ระยะเวลาในการสร้างเป็นหลายล้านปี การทดแทนด้วยพลังงานสะอาดจึงเป็นเทรนด์ในอนาคตที่น่าสนใจ

นอกจากนี้ นโยบายของคุณไบเดนที่เน้นการพัฒนาแบบ Green Economy อาจส่งผลดีต่อธุรกิจกลุ่มพลังงานสะอาด โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 9.6% ของ GDP) โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มให้พลังงานทดแทนเป็นที่ยอมรับทั่วโลกและลดต้นทุนการใช้พลังงานทดแทนสำหรับพลังงานไฟฟ้าในประเทศ โดยหลังจากช่วงปลายพ.ย. 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่คุณไบเดนประกาศแผนในการพัฒนาพลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ส่งผลต่อผลตอบแทนกอง ICLN ที่เพิ่มขึ้นมากว่า 30%  และเนื่องจากเทรนด์พลังงานสะอาดในอนาคตข้างหน้า อาจทำให้ ICLN เติบโตกว่า 3 เท่า นับตั้งแต่มี.ค. 2563 ได้

ข้อดีในการลงทุนของ ICLN

ICLN มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างต่ำ หากเทียบกับกอง ETF อื่นที่ใกล้เคียง โดย expense ratio อยู่ที่ 0.46%

ICLN อิงดัชนี S&P Global Clean Energy ซึ่งประกอบไปด้วย 30 หุ้น โดย 90% ของสินทรัพย์รวมสุทธิ จะเป็นสินทรัพย์ที่เข้าลงทุนในหุ้นตามดัชนีอ้างอิง และอีก 10% จะลงทุนในเครื่องมือสำหรับการป้องกันความเสี่ยง (hedging instruments) เป้าหมายหลัก คือ การเลือกลงทุนในบริษัทที่ให้ความสำคัญในเรื่องของพลังงานสะอาด โดยจะเห็นว่ากว่า 35% ของสินทรัพย์รวมสุทธิ เป็นการลงทุนในบริษัทกลุ่มพลังงานไฟฟ้าทดแทนได้ และที่ 17% ของสินทรัพย์รวมสุทธิ เป็นการลงทุนในบริษัทแบบสาธารณูปโภคไฟฟ้า (Electric Utilities)

004

Source: Vivid Economics

Top 5 Holdings (as of 9/3/64)สัดส่วนในสินทรัพย์สุทธิ (%)
Plug Power (PLUG)

8.9

Enphase Energy Inc. (ENPH)

5.3

Verbund AG (VER)

5.1

Daqo New Energy ADR (DQ)

4.9

Siemens Gamesa Renewable Energy SA (SGRE)

4.3

Source: iShares

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM)

5,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

Expense ratio (%)

0.46%

Source: Bloomberg, as of 11/3/64

5. Global X Cannabis ETF (POTX)

“เทรนด์เปิดเศรษฐกิจ และตลาดกัญชา”

คงไม่พูดถึงไปไม่ได้… โดย POTX จะเน้นการลงทุนบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมกัญชา (Cannabis) โดยจะต้องเป็นบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายกัญชาที่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมไปถึงการบริการด้านการเงินภายในอุตสาหกรรมกัญชา การนำกัญชาไปใช้สำหรับการผลิตยาและการรักษา เป็นต้น โดย ETF POTX ประกอบไปด้วยหุ้นจำนวน 25 หุ้น โดยลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในประเทศแคนาดาเป็นหลักที่ 80.1% ของสินทรัพย์รวมสุทธิ

สัดส่วนหลักของกลุ่มธุรกิจของ POTX ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจบริโภคสินค้าจำเป็น (Consumer staples) ที่ 64% ของสินทรัพย์รวมสุทธิ ในขณะที่ Healthcare เป็นอันดับสอง อยู่ที่ 18% ของสินทรัพย์รวมสุทธิ

POTX เน้นไปที่การลงทุนในบริษัททั่วโลกที่สามารถสร้างรายได้และกำไร หรือมีสินทรัพย์กว่า 50% จากการปลูก ผลิต พัฒนา ทำการตลาดจากกัญชา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อสันทนาการ (Recreational) หรือเพื่อการผลิตยา

ในกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ หากมาดูบริษัท TOP 5 Holdings กันบ้าง จะเห็นว่า…

  1. Aphria Inc. (APHA CN) สัดส่วนอยู่ที่ 7%

บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายรวมไปถึงน้ำมันกัญชาแบบกัญชาแบบแห้ง ดำเนินธุรกิจในแคนาดา

  1. GW Pharmaceuticals – ADR (GWPH) สัดส่วนอยู่ที่ 2%

บริษัทผู้พัฒนาและวิจัยยาทางการแพทย์ที่ทำจากกัญชา (Cannabinoid prescription medicines) เพื่อใช้ในการรักษาความเจ็บปวดของโรคมะเร็ง, โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis)

  1. Tilray Inc. (TLRY) สัดส่วนอยู่ที่ 8%

บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวกับการจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับกัญชา ไม่ว่าจะเป็นยาจากกัญชา น้ำมันกัญชา ฯลฯ

  1. Cronos Group Inc. (CRON) สัดส่วนอยู่ที่ 3%

บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับกัญชา โดย Cronos ให้บริการเป็นแพลตฟอร์มในการผลิตและแจกจ่ายกัญชาเพื่อการแพทย์ รวมไปถึงการปลูกน้ำมันกัญชาและดำเนินธุรกิจภายในประเทศแคนาดา

  1. Sundial Growers Inc. (SNDL) สัดส่วนอยู่ที่ 2%

บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเภสัชศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและปลูกกัญชาหลากหลายสายพันธุ์ในประเทศแคนาดา

ตารางเปรียบเทียบ ETF POTX และ MJ

ข้อมูลเปรียบเทียบPOTXMJ
ราคา ETF

16.17 เหรียญสหรัฐฯ

22.35 เหรียญสหรัฐฯ
วันที่ออก

17/9/63

2/12/58

โครงสร้าง

Open ended

Open ended

ค่าใช้จ่าย (Expense ratio)

0.50%

0.75%

มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM)

214 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

Source: Bloomberg, as of 11/3/64

ข้อมูลที่แสดงถึงปริมาณเงินไหลเข้าของ POTX

 005

Source: ETFDB.com

หลังเปิดเศรษฐกิจ POTX น่าสนใจอย่างไร

นับว่าในปัจจุบันธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชา เริ่มแพร่หลายมากขึ้น อีกทั้งมีการขับเคลื่อนโดยฝ่ายบริหารใหม่ที่ต้องการปลดปล่อยกัญชาของแคนาดาในอเมริกา หากเริ่มเปิดเศรษฐกิจก็จะส่งผลทำให้การใช้กัญชาเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อสันทนาการหรือทางการแพทย์เช่นเดียวกัน

อีกทั้งยุคของไบเดนที่มีนโยบายช่วยสนับสนุนและเป็นตัวเร่งที่สำคัญที่อาจส่งผลถึงราคากัญชาในอนาคต จากการออกกฎหมายที่เป็นมิตรต่อกัญชา เมื่อเทียบกับในอดีต ทำให้ส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชา

 

สรุปบทความสำหรับสัปดาห์นี้ เราพูดถึง ETF 5 ตัวด้วยกันที่เรามองว่าจะได้รับแรงหนุนหลังจากเปิดเศรษฐกิจในอนาคต หลังจากที่หลาย ๆ ประเทศได้รับวัคซีนกันไปบ้างแล้ว ยิ่งสหรัฐฯ! ซึ่งเริ่มฉีดวัคซีนกันตั้งแต่วันที่ 14 ธ.ค. 2563 จนถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 11 มี.ค. 2564) มีผู้ที่ได้รับวัคซีนไปแล้วกว่า 95.7 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 18.8% ของประชากรทั้งหมดในสหรัฐฯ โดย ETF ที่เรานำมาวันนี้ ประกอบไปด้วย…

  1. SPDR S&P Smart Mobility ETF (HAIL)
  2. Invesco Dynamic Leisure and Entertainment ETF (PEJ)
  3. iShares China Large-Cap ETF (FXI)
  4. iShares Global Clean Energy ETF (ICLN)
  5. Global X Cannabis ETF (POTX)

📌 เปิดบัญชีลงทุนต่างประเทศออนไลน์ง่าย ๆ สไตล์ BLS Global Investing ได้ที่ https://bls.tips/openglobalinvesting 

📌 ติดตามรายงานการลงทุนต่างประเทศ คัดสรรสำหรับลูกค้าหลักทรัพย์บัวหลวง “เนื้อหาอัดแน่นและจัดเต็ม” ทุกสัปดาห์ ในเมนู Global Research https://bls.tips/reportblsglobalinvesting

 

Source: Bloomberg, Seeking Alpha, ETFdb.com, as of 11/3/64

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทความที่เกี่ยวข้อง