
อีกตัวเลือกในการลงทุนต่างประเทศก็ คือ “การลงทุนใน ETF” ซึ่งนับว่าเป็นอีกตัวเลือกที่สามารถช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับนักลงทุนได้ เพราะการลงทุนใน ETF นั้น เปรียบเสมือนการลงทุนในหุ้นหลายตัว และสามารถซื้อ-ขายได้แบบ Real-time เหมือนกับหุ้น ต่างจากการลงทุนในกองทุนรวม กว่าเราจะทราบ NAV ก็ต้องใช้เวลาหลายวัน นอกจากนี้ โดยปกติแล้วกองทุนรวมต่างประเทศมักจะเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการ 2 ต่อด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือ กองทุนหลักที่อยู่ในต่างประเทศ เก็บค่าธรรมเนียม 1 ต่อ และกองทุนรวมของประเทศไทยก็จะเก็บค่าธรรมเนียมอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นจึงเปรียบเสมือนว่า เราโดนเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการถึง 2 ต่อ อีกทั้ง ETF ก็เป็นการลงทุนที่มีธีมให้นักลงทุนได้เลือกมากมาย วันนี้ทีม BLS Global Investing จึงอยากจะพามาดู ETF ที่เกาะเทรนด์เปิดเศรษฐกิจหลังจากเกิดการระบาดโควิด-19 มีตัวไหนบ้าง พร้อมทั้งข้อมูลของแต่ละ ETF ที่น่าสนใจ
1. SPDR S&P Smart Mobility ETF (HAIL)
“เทรนด์เปิดเศรษฐกิจและเทรนด์แห่งอนาคต”
ETF อิงดัชนี S&P Kensho Smart Transportation ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทหลายบริษัททั่วโลกที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และดำเนินธุรกิจสินค้าและบริการเกี่ยวกับนวัตกรรมการขับขี่ (Smart transportation)
โดยดัชนี S&P Kensho smart transportation มีความตั้งใจที่จะสะท้อนถึงบริษัทที่อยู่ในดัชนีดังนี้
- S&P Kensho Electric Vehicles Index
- S&P Kensho Autonomous Vehicles Index
- S&P Kensho Advanced Transport Systems Index
- S&P Kensho Drones Index
สัดส่วนการลงทุนของ HAIL เกือบ 20% ของสินทรัพย์รวมสุทธิ เป็นการลงทุนในธุรกิจกลุ่มอุปกรณ์และชิ้นส่วนรถยนต์ และกว่า 80% เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในสหรัฐฯ รองลงมาเป็นบริษัทจีนที่ 6.3% ของสัดส่วนทั้งหมด HAIL โดย P/E อยู่ที่ 22.95
ทำไม HAIL ถึงน่าสนใจ
เมื่อเปิดเศรษฐกิจ หุ้นในกลุ่มโดยสาร (Transportation) เป็นอีกกลุ่มการลงทุนที่น่าสนใจ เนื่องจากการเดินทางเป็นปัจจัยหลักของการดำเนินชีวิต จึงทำให้หุ้นกลุ่มยานยนต์ ได้รับผลบวกเช่นกัน อีกทั้งโลกกำลังเข้าสู่ยุค new economy การเดินทางด้วยยานยนต์แบบใหม่ที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมร่วมด้วย เช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้า รถยนต์ไร้คนขับ โดรน จึงเป็นสิ่งที่โลกกำลังจะพัฒนา เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและสะดวกสบาย ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี
ตารางเปรียบเทียบกับดัชนีอ้างอิง
ผลตอบแทนย้อนหลัง | HAIL (%) | KMOVE (%) |
1 เดือน | -11.91 | -11.86 |
3 เดือน | 19.65 | 19.63 |
ตั้งแต่ต้นปี (1 ม.ค. 2564) | 12.76 | 12.64 |
1 ปี | 159.34 | 159.39 |
3 ปี | 27.38 | 27.15 |
5 ปี | – | 28.77 |
Source: Bloomberg, as of 11/3/64
Top 5 Holdings (as of 9/3/64) | สัดส่วนในสินทรัพย์สุทธิ (%) |
AgEagle Aerial Systems Inc. (UAVS) | 3.8 |
Avis Budget Group Inc. (CAR) | 2.8 |
Plug Power Inc. (PLUG) | 2.8 |
Niu Technologies – DR (NIU) | 2.4 |
American Axle & Manufacturing Holdings Inc. (AXL) | 2.4 |
Source: Bloomberg
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) | 235 ล้านเหรียญสหรัฐฯ |
Expense ratio (%) | 0.45 % |
Source: Bloomberg, as of 11/3/64
2. Invesco Dynamic Leisure and Entertainment ETF (PEJ)
“เทรนด์เปิดเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อความบันเทิง”
PEJ นับว่าเป็นกอง ETF ที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นธุรกิจโรงแรม คาสิโน รวมถึง Walt Disney (DIS) ส่งผลทำให้ในช่วงมีนาคมในปี 2563 ราคา ETF ลงมาอยู่ที่ 19.5 เหรียญสหรัฐฯ (ปัจจุบันอยู่ที่ 50.64 เหรียญสหรัฐฯ) (ตามรูป) จากการที่การท่องเที่ยวหยุดชะงักและการเป็นอยู่แบบ Social distancing
Source: Bloomberg, as of 10/3/64
PEJ มีหลักการในการเลือกหุ้นอย่างไร
PEJ เป็น ETF ที่อ้างอิงกับดัชนี Dynamic Leisure & Entertainment Intellindex ซึ่งเลือกลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวกับความบันเทิง, การสื่อสาร และการท่องเที่ยว โดย PEJ ประกอบไปด้วยหุ้นประมาณ 30-32 ตัว และใช้กลยุทธ์ในการเลือกหุ้นตามโมเมนตัมของกำไร ผลตอบแทนของราคา และคุณภาพทางด้านการเงิน กลยุทธ์ในการบริหารจัดการธุรกิจ ฯลฯ
แล้วทำไม PEJ จึงกลับมาน่าสนใจ หากเปิดเศรษฐกิจ
เรามองว่าธุรกิจสื่อบันเทิง, ท่องเที่ยว หรือ สื่อสาร อาจได้รับอานิสงค์จากการเปิดเศรษฐกิจและการรับวัคซีน เนื่องจากประชาชนจะกลับมาเดินทางได้ตามปกติ หรือ ไปท่องเที่ยวในตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น สวนสนุก หรือ คาสิโน ซึ่งจะหนุนต่อรายได้และกำไรของหุ้นที่อยู่ใน PEJ เช่นกัน อีกหนึ่งความน่าสนใจก็ คือ PEJ ลงทุนทั้งหุ้นขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ (วัดจากมูลค่าตลาด) จึงทำให้ประกอบไปด้วยหุ้น Growth และ Value ที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและความเป็น cyclicality
PEJ ประกอบไปด้วยบริษัทที่ให้บริการด้านความสนุกสนานและความบันเทิงที่หลากหลาย อาทิ บริษัท ViacomCBS ที่ให้บริการสื่อบันเทิงระดับโลก เป็นต้น
Top 5 Holdings (as of 28/2/64) | สัดส่วนในสินทรัพย์สุทธิ (%) |
ViacomCBS Inc. (VIAC) | 7.3 |
Walt Disney (DIS) | 4.9 |
Hilton Worldwide Holdings Inc. (HLT) | 4.4 |
Fox Corp (FOXA) | 4.4 |
Sysco Corp. (SYY) | 4.3 |
Source: Investco
PEJ มีผลตอบแทนเฉลี่ยตั้งแต่เริ่มจัดตั้งในช่วงเดือนมิ.ย. 2548 อยู่ที่ 6% ต่อปี
Source: Seeking Alpha, as of 30/09/2020
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) | 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ |
Expense ratio (%) | 0.63% |
Source: Bloomberg, as of 11/3/64
3. iShares China Large-Cap ETF (FXI)
“เทรนด์เปิดเศรษฐกิจและหุ้นจีนในตลาดฮ่องกง”
ETF หนึ่งเดียวที่เลือกลงทุนในหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง อีกทั้งเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดจำนวน 50 ตัว โดยคำนวณจากมูลค่าตลาด (Market Capitalization) โดย ETF FXI อ้างอิงกับดัชนี FTSE China 50 และมีค่าใช้จ่ายรวมที่กองเก็บ (Expense ratio) อยู่ที่ 0.74%
จุดสังเกต คือ FXI เป็น ETF ที่เลือกลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ของจีน โดยจะต้องจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเท่านั้น จึงทำให้ส่วนใหญ่เป็นหุ้นกลุ่มการเงิน (Financials) กลุ่มการบริโภค (Consumer Discretionary) และกลุ่มการสื่อสาร (Communication) จึงทำให้เรานำ FXI มาอยู่ในธีม ETF เกาะเทรนด์เปิดเศรษฐกิจ เมื่อเปิดเศรษฐกิจจะส่งผลบวกต่อหุ้นเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น หากเศรษฐกิจกลับมาเปิดอย่างเต็มรูปแบบ จะส่งผลให้รายได้และกำไรของบริษัทต่าง ๆ ฟื้นกลับมา ช่วยกระตุ้นการลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะหนุนต่อกลุ่มการเงิน ส่วนหุ้นบริโภคก็อาจได้รับแรงหนุนเช่นกัน จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ให้เงินเยียวยาแก่ประชาชน หนุนการบริโภคเพิ่มขึ้น
สัดส่วนกลุ่มธุรกิจ (Sector) ของ FXI (%) (As of 9/3/64)
Source: iShares
FXI มีหุ้นอยู่ในกองทั้งหมด 50 ตัว และหากพูดถึง 5 หุ้นที่มีสัดส่วนใน FXI มากที่สุด มีดังนี้
Top 5 Holdings (as of 9/3/64) | กลุ่มธุรกิจ (Sector) | สัดส่วนในสินทรัพย์สุทธิ (%) |
Tencent (700) | Consumer Discretionary | 8.7 |
Alibaba (9988) | Communication | 8.6 |
Meituan (3690) | Consumer Discretionary | 7.3 |
China Construction Bank Corp. (939) | Financials | 6.1 |
JD.com (9618) | Consumer Discretionary | 5.8 |
Source: iShares
ทำไมหลังจากเปิดเศรษฐกิจ FXI จึงเป็น ETF ที่น่าสนใจ
ประเทศจีน เป็นประเทศแผ่นดินใหญ่ การใช้จ่ายสูงมาโดยตลอด อีกทั้งยังเป็นประเทศที่ฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19 ที่รวดเร็วมาก โดย GDP โตเป็นบวกได้ในปีก่อน ขณะที่ประเทศอื่น ๆ รวมถึงประเทศไทยติดลบ ดังนั้นเมื่อมีการเปิดเศรษฐกิจ หุ้นที่อยู่ในกลุ่ม Consumer discretionary จึงได้รับผลประโยชน์ไป จากการที่ผู้บริโภคหันกลับมาใช้จ่ายกันมากขึ้น ธุรกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว รายได้อาจค่อย ๆ ฟื้นตัวมาอยู่ในระดับก่อนการระบาด อีกทั้งศักยภาพในการเติบโตของจีนดี ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็ว จึงทำให้ FXI เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ อีกทั้งหากลองสังเกตดี ๆ หุ้นใน FXI ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ดำเนินธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาร่วมด้วย จึงทำให้โอกาสในการเติบโตยังคงสูง บวกกับการเป็นหุ้นในกลุ่มที่ถูกจัดว่าเป็น New economy ที่มีการเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจจีน
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) | 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ |
Expense ratio (%) | 0.74% |
Source: Bloomberg, as of 11/3/64
4. iShares Global Clean Energy ETF (ICLN)
“เทรนด์เปิดเศรษฐกิจ และธุรกิจด้านพลังงานสะอาด”
ICLN เลือกลงทุนในหุ้นที่อยู่ในกลุ่มพลังงานสะอาด (Clean energy) ทั่วโลก โดยมีหุ้น top holding เช่น Plug Power ที่มีสัดส่วนราว 8.7% และ Enphase Energy ที่สัดส่วน 5.4% ของสินทรัพย์สุทธิทั้งหมด
เทรนด์พลังงานสะอาดกำลังเติบโตในปัจจุบัน ส่งผลให้หลาย ๆ อุตสาหกรรมเริ่มหันมาใช้พลังงานสะอาดกันมากขึ้น เช่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) พลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ เป็นต้น
ทำไม ICLN ถึงน่าสนใจและได้รับแรงหนุนบวก จากการเปิดเศรษฐกิจ
เราคาดว่าบริษัทกลุ่มพลังงานสะอาดจะมีแนวโน้มการเติบโตที่สดใส จากการเข้าสู่ยุคใหม่ของโลกที่เน้นการใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น เห็นได้จากยอดขายรถ EV ทั่วโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเศรษฐกิจกลับมาเปิดอย่างเต็มรูปแบบ เราเชื่อว่า demand การใช้พลังงานสะอาดจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากพลังงานสะอาดมักจะถูกนำไปใช้ในกลุ่มการโดยสารและขนส่งเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งยังมีไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านและสำนักงาน ดังนั้นหากคนมีการเดินทางเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้พลังงานสะอาดได้รับแรงหนุนนี้ไปด้วย และน้ำมันฟอสซิลนับว่าเป็นพลังงานที่มีวันหมดไป และใช้ระยะเวลาในการสร้างเป็นหลายล้านปี การทดแทนด้วยพลังงานสะอาดจึงเป็นเทรนด์ในอนาคตที่น่าสนใจ
นอกจากนี้ นโยบายของคุณไบเดนที่เน้นการพัฒนาแบบ Green Economy อาจส่งผลดีต่อธุรกิจกลุ่มพลังงานสะอาด โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 9.6% ของ GDP) โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มให้พลังงานทดแทนเป็นที่ยอมรับทั่วโลกและลดต้นทุนการใช้พลังงานทดแทนสำหรับพลังงานไฟฟ้าในประเทศ โดยหลังจากช่วงปลายพ.ย. 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่คุณไบเดนประกาศแผนในการพัฒนาพลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ส่งผลต่อผลตอบแทนกอง ICLN ที่เพิ่มขึ้นมากว่า 30% และเนื่องจากเทรนด์พลังงานสะอาดในอนาคตข้างหน้า อาจทำให้ ICLN เติบโตกว่า 3 เท่า นับตั้งแต่มี.ค. 2563 ได้
ข้อดีในการลงทุนของ ICLN
ICLN มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างต่ำ หากเทียบกับกอง ETF อื่นที่ใกล้เคียง โดย expense ratio อยู่ที่ 0.46%
ICLN อิงดัชนี S&P Global Clean Energy ซึ่งประกอบไปด้วย 30 หุ้น โดย 90% ของสินทรัพย์รวมสุทธิ จะเป็นสินทรัพย์ที่เข้าลงทุนในหุ้นตามดัชนีอ้างอิง และอีก 10% จะลงทุนในเครื่องมือสำหรับการป้องกันความเสี่ยง (hedging instruments) เป้าหมายหลัก คือ การเลือกลงทุนในบริษัทที่ให้ความสำคัญในเรื่องของพลังงานสะอาด โดยจะเห็นว่ากว่า 35% ของสินทรัพย์รวมสุทธิ เป็นการลงทุนในบริษัทกลุ่มพลังงานไฟฟ้าทดแทนได้ และที่ 17% ของสินทรัพย์รวมสุทธิ เป็นการลงทุนในบริษัทแบบสาธารณูปโภคไฟฟ้า (Electric Utilities)
Source: Vivid Economics
Top 5 Holdings (as of 9/3/64) | สัดส่วนในสินทรัพย์สุทธิ (%) |
Plug Power (PLUG) | 8.9 |
Enphase Energy Inc. (ENPH) | 5.3 |
Verbund AG (VER) | 5.1 |
Daqo New Energy ADR (DQ) | 4.9 |
Siemens Gamesa Renewable Energy SA (SGRE) | 4.3 |
Source: iShares
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) | 5,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ |
Expense ratio (%) | 0.46% |
Source: Bloomberg, as of 11/3/64
5. Global X Cannabis ETF (POTX)
“เทรนด์เปิดเศรษฐกิจ และตลาดกัญชา”
คงไม่พูดถึงไปไม่ได้… โดย POTX จะเน้นการลงทุนบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมกัญชา (Cannabis) โดยจะต้องเป็นบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายกัญชาที่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมไปถึงการบริการด้านการเงินภายในอุตสาหกรรมกัญชา การนำกัญชาไปใช้สำหรับการผลิตยาและการรักษา เป็นต้น โดย ETF POTX ประกอบไปด้วยหุ้นจำนวน 25 หุ้น โดยลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในประเทศแคนาดาเป็นหลักที่ 80.1% ของสินทรัพย์รวมสุทธิ
สัดส่วนหลักของกลุ่มธุรกิจของ POTX ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจบริโภคสินค้าจำเป็น (Consumer staples) ที่ 64% ของสินทรัพย์รวมสุทธิ ในขณะที่ Healthcare เป็นอันดับสอง อยู่ที่ 18% ของสินทรัพย์รวมสุทธิ
POTX เน้นไปที่การลงทุนในบริษัททั่วโลกที่สามารถสร้างรายได้และกำไร หรือมีสินทรัพย์กว่า 50% จากการปลูก ผลิต พัฒนา ทำการตลาดจากกัญชา ไม่ว่าจะเป็นเพื่อสันทนาการ (Recreational) หรือเพื่อการผลิตยา
ในกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ หากมาดูบริษัท TOP 5 Holdings กันบ้าง จะเห็นว่า…
- Aphria Inc. (APHA CN) สัดส่วนอยู่ที่ 7%
บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายรวมไปถึงน้ำมันกัญชาแบบกัญชาแบบแห้ง ดำเนินธุรกิจในแคนาดา
- GW Pharmaceuticals – ADR (GWPH) สัดส่วนอยู่ที่ 2%
บริษัทผู้พัฒนาและวิจัยยาทางการแพทย์ที่ทำจากกัญชา (Cannabinoid prescription medicines) เพื่อใช้ในการรักษาความเจ็บปวดของโรคมะเร็ง, โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis)
- Tilray Inc. (TLRY) สัดส่วนอยู่ที่ 8%
บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวกับการจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับกัญชา ไม่ว่าจะเป็นยาจากกัญชา น้ำมันกัญชา ฯลฯ
- Cronos Group Inc. (CRON) สัดส่วนอยู่ที่ 3%
บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับกัญชา โดย Cronos ให้บริการเป็นแพลตฟอร์มในการผลิตและแจกจ่ายกัญชาเพื่อการแพทย์ รวมไปถึงการปลูกน้ำมันกัญชาและดำเนินธุรกิจภายในประเทศแคนาดา
- Sundial Growers Inc. (SNDL) สัดส่วนอยู่ที่ 2%
บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเภสัชศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและปลูกกัญชาหลากหลายสายพันธุ์ในประเทศแคนาดา
ตารางเปรียบเทียบ ETF POTX และ MJ
ข้อมูลเปรียบเทียบ | POTX | MJ |
ราคา ETF | 16.17 เหรียญสหรัฐฯ | 22.35 เหรียญสหรัฐฯ |
วันที่ออก | 17/9/63 | 2/12/58 |
โครงสร้าง | Open ended | Open ended |
ค่าใช้จ่าย (Expense ratio) | 0.50% | 0.75% |
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) | 214 ล้านเหรียญสหรัฐฯ | 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ |
Source: Bloomberg, as of 11/3/64
ข้อมูลที่แสดงถึงปริมาณเงินไหลเข้าของ POTX
Source: ETFDB.com
หลังเปิดเศรษฐกิจ POTX น่าสนใจอย่างไร
นับว่าในปัจจุบันธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชา เริ่มแพร่หลายมากขึ้น อีกทั้งมีการขับเคลื่อนโดยฝ่ายบริหารใหม่ที่ต้องการปลดปล่อยกัญชาของแคนาดาในอเมริกา หากเริ่มเปิดเศรษฐกิจก็จะส่งผลทำให้การใช้กัญชาเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อสันทนาการหรือทางการแพทย์เช่นเดียวกัน
อีกทั้งยุคของไบเดนที่มีนโยบายช่วยสนับสนุนและเป็นตัวเร่งที่สำคัญที่อาจส่งผลถึงราคากัญชาในอนาคต จากการออกกฎหมายที่เป็นมิตรต่อกัญชา เมื่อเทียบกับในอดีต ทำให้ส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชา
สรุปบทความสำหรับสัปดาห์นี้ เราพูดถึง ETF 5 ตัวด้วยกันที่เรามองว่าจะได้รับแรงหนุนหลังจากเปิดเศรษฐกิจในอนาคต หลังจากที่หลาย ๆ ประเทศได้รับวัคซีนกันไปบ้างแล้ว ยิ่งสหรัฐฯ! ซึ่งเริ่มฉีดวัคซีนกันตั้งแต่วันที่ 14 ธ.ค. 2563 จนถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 11 มี.ค. 2564) มีผู้ที่ได้รับวัคซีนไปแล้วกว่า 95.7 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 18.8% ของประชากรทั้งหมดในสหรัฐฯ โดย ETF ที่เรานำมาวันนี้ ประกอบไปด้วย…
- SPDR S&P Smart Mobility ETF (HAIL)
- Invesco Dynamic Leisure and Entertainment ETF (PEJ)
- iShares China Large-Cap ETF (FXI)
- iShares Global Clean Energy ETF (ICLN)
- Global X Cannabis ETF (POTX)
📌 เปิดบัญชีลงทุนต่างประเทศออนไลน์ง่าย ๆ สไตล์ BLS Global Investing ได้ที่ https://bls.tips/openglobalinvesting
📌 ติดตามรายงานการลงทุนต่างประเทศ คัดสรรสำหรับลูกค้าหลักทรัพย์บัวหลวง “เนื้อหาอัดแน่นและจัดเต็ม” ทุกสัปดาห์ ในเมนู Global Research https://bls.tips/reportblsglobalinvesting
Source: Bloomberg, Seeking Alpha, ETFdb.com, as of 11/3/64