แนะนำ

จับจังหวะซื้อขายหุ้นด้วย 3 Indicators ที่มือใหม่ต้องรู้

ในช่วงหุ้นราคาถูก หลายคนอาจเล็งเข้าซื้อสะสมหุ้นแต่ไม่รู้จะเข้าจังหวะไหนดี วันนี้เรามี 3 Indicators เด่นที่จะมาช่วยมือใหม่จับจังหวะการซื้อขายหุ้นกันค่ะ ไปชมกันเลย

ราคาหุ้นเคลื่อนไหวยังไง ?

ราคาหุ้นเคลื่อนไหวอย่างมีแนวโน้ม แบ่งออกเป็น 3 ทิศทางดังนี้

Technical Analysis มองว่าการเคลื่อนไหวของกราฟเกิดจาก...

ราคาสะท้อนทุกอย่างแล้ว (Price reflects everything)
- ราคาหุ้นได้สะท้อนมูลค่าที่เหมาะสม Efficient Market
- ทุกคนได้รับข่าวสารเท่าเทียมกัน ไม่มี Inside Information
- นักลงทุนจะซื้อหุ้นถูก และขายเมื่อแพงเกินมูลค่า

ราคาเคลื่อนไหวอย่างมีแนวโน้ม (Price moves in trends)

แนวโน้มในอดีตมีโอกาสเกิดขึ้นอีก (History tends to repeat itself)

วิธีดูสัญญาณและจังหวะราคาหุ้นขึ้น-ลง ทำยังไง?

นักลงทุนสามารถใช้งาน Indicators ซึ่งเป็นเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ ที่ใช้ข้อมูลราคาหุ้นในอดีตและปัจจุบันเพื่อแปลงเป็นสัญญาณดูแนวโน้มและความผันผวนของราคาหุ้นในอนาคต Indicators หลัก ๆ ที่น่าสนใจมีดังนี้...

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Exponential Moving Average: EMA)

เป็นการคำนวณเส้นค่าเฉลี่ยแบบเคลื่อนที่ โดยคำนวณจากราคาย้อนหลังตามเวลาที่เรากำหนด (Period) และนำมาหาค่าเฉลี่ย มักใช้เส้น EMA 2 ช่วงเวลาเปรียบเทียบกัน

หากเส้นระยะสั้นตัดขึ้นเหนือระยะยาว “จังหวะซื้อ”
หากเส้นระยะสั้นตัดลงใต้ระยะยาว “จังหวะขาย”

RSI (Relative Strength Index)

เครื่องมือวัดแนวโน้ม หรือ Momentum ของราคาหุ้น รวมถึงความเร็วในการเกิดแนวโน้มของราคาในช่วงหนึ่ง RSI มีค่าระหว่าง 0-100 ใช้วัดความแกว่งของราคาหุ้น เพื่อดูสภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป

RSI < 30% = มีแรงขายที่มากเกินไป “จังหวะซื้อ”
RSI > 70% = มีแรงซื้อที่มากเกินไป “จังหวะขาย”

ปริมาณซื้อขาย (Volume) หรือมูลค่าซื้อขาย (Value)

บอกระดับความสนใจ หรือ ความกระตือรือร้นของนักลงทุน นักเทคนิคมักอ่าน Volume/Value ใช้ยืนยันการเกิด/การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มหลัก โดยให้สังเกตวันหรือช่วงเวลาที่มี Volume/Value Peak หรือมากผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของ การเกิดแนวโน้มใหม่ หรือจบแนวโน้มเดิม